วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ข้อห้ามผู้หญิงล้านนาในอดีต


๑. ห้ามเข้าไปเหยียบในบริเวณลานพระธาตุเจดีย์

พระธาตุเจดีย์ เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นบริเวณรอบ องคพระธาตุจึงนิยมทำกำแพงแก้วกั้นไว้เป็นบริเวณลาน
(ข่วง) พระธาตุ บุคคลใดประสงค์จะเข้าไปที่ลานในกำแพงแก้ว เพื่อกราบไหว้บูชา
หรือเข้าไปทำความสะอาด ถ้าสวมหมวกจะต้องถอดออก ถ้าสวมรองเท้าต้องถอดรองเท้า
และที่ห้ามเข้าไปในบริเวณลานเจดีย์ คือ ผู้หญิง ถือว่าถ้าผู้หญิงเข้าไปจะทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์
แต่คนโบราณก็ไม่ได้กล่าวว่าเพศหญิงเป็นเพศต่ำ
ป้ายห้ามผู้หญิงเข้าไปภายในบริเวณลาน พระธาตุวัดพระธาตุดอยสุเทพ เชียงใหม่
พระธาตุหริภุญชัย ลำพูน พระธาตุลำปางหลวง และทุกวัดในเขตล้านนา

๒. ห้ามเข้าพระอุโบสถหรือในเขตกำแพงแก้วพระอุโบสถ

พระอุโบสถ คืออาคารที่ทำสังฆกรรมของพระสงฆ์ ในล้านนาจะเป็นอาคารหลังไม่ใหญ่
และจะห้ามผู้หญิงเข้า แม้กระทั่งในเขตของ กำแพงแก้วก็ห้ามเหยียบเข้าไป
ถ้าผู้หญิงเข้าจะทำให้เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์
แต่ก็ยังมีข้อแม้ว่า ถ้าผู้หญิงใดกำเนิดลูกผู้ชาย จำนวน ๗ คน
และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุทั้ง ๗ คน จึงจะเข้าอุโบสถได้

๓. ห้ามเข้าใกล้บริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นบ่อน้ำที่คนล้านนาให้ความเคารพ มีทั้งบ่อที่มีมาช้านานตั้งแต่โบราณ
และบ่อที่พบใหม่ ส่วนมากจะเป็น บ่อน้ำที่รักษาโรคได้สารพัดโรค
ดังนั้นบริเวณรอบบ่อจะสร้างรั้วราชวัตรกั้นไว้ บุคคลที่จะเข้าไปในเขตรั้วเพื่อตักน้ำในบ่อ
ถ้าสวมหมวกจะต้องถอดออก ถ้าสวมรองเท้าจะต้องถอดรองเท้า ก่อนที่จะตักน้ำ
จะมีการกราบไหว้บูชา แล้วตั้งคำอธิษฐานขอให้หายจาก โรคอะไร บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทุกบ่อ
ห้ามผู้หญิงเข้าไปในบริเวณรั้วราชวัตร ถ้าต้องการน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็ขอให้ผู้ชายเป็นคนตักให้
ถ้าผู้ผู้หญิง เข้าใกล้บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าน้ำในบ่อจะหมดความศักดิ์สิทธิ์
และยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงที่มีประจำเดือนเข้าใกล้บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่า จะทำให้น้ำในบ่อเน่าเสีย

๔. ห้ามนั่งปากบ่อน้ำ

บ่อน้ำ เป็นสิ่งนับถือของคนโบราณ ถือว่าน้ำเป็นสิ่งที่มีคุณ ทั้งน้ำกินน้ำใช้ได้จากบ่อ
เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนยี่เหนือ และวัน สงกรานต์ ชาวบ้านจะนำประทีปไปจุดบูชาที่บ่อน้ำ
เพื่อเป็นการบูชาคุณน้ำ และเป็นการขอขมาน้ำด้วย เมื่อบ่อน้ำถือเป็นสถานที่มีคุณ
คนโบราณจึงห้ามนั่งบนปากบ่อ ถ้าผู้เฒ่าผู้แก่เห็นผู้ชายนั่ง จะดุด่า ตักเตือนไม่ให้นั่งอีก
โดยบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นการลบหลู่คุณของน้ำ แต่ถ้ามีผู้หญิงใด นั่งปากบ่อน้ำ
ถ้าผู้เฒ่าผู้แก่เห็นจะโกรธและดุด่าอย่างรุนแรง เพราะ เชื่อว่า ถ้าผู้หญิงนั่งปากบ่อน้ำ
จะทำให้น้ำในบ่อนั้นเน่าเสีย และจะต้องเอาน้ำส้มป่อยไปประพรมขอขมาลาโทษบ่อน้ำนั้น

๕. ห้ามเก็บพืชผักในระหว่างที่มีประจำเดือน

บริเวณสวนหลังบ้านของคนแต่ก่อน จะเป็นที่ปลูกพืชผักสำหรับปรุงอาหาร
ผักที่ใช้ประกอบการปรุงอาหาร เช่น ผักไผ่ สะระแหน่ ผักคาวทอง ต้นหอม ผักชี
ผักสำหรับจิ้มลาบ เป็นต้น ผู้หญิงใดที่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ท่านห้ามเก็บผักเหล่านี้
ถ้าผู้หญิงที่มีประจำเดือนเก็บผักดังกล่าว เชื่อว่า ผักจะแห้ง เฉาตายลง
ผู้ใหญ่ก็จะรู้ว่ามีผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือนฝ่าฝืน ข้อห้าม
และต้องมีการดุด่าว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้ทำอีก

๖. ห้ามกินผลไม้แฝด

ผลไม้แฝด คือผลไม้ ๒ ลูกออกมาเชื่อมติดกัน เช่น กล้วย มะม่วง มะปราง เป็นต้น
ในล้านนาจะห้ามผู้หญิงกินผลไม้นั้น เชื่อว่า จะทำให้ผู้หญิงนั้นมีลูกแฝด
เพราะการมีลูกแฝดสมัยโบราณนั้นไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้หญิง
เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากการคลอด และจะยุ่งยากลำบากในการเลี้ยงดู

๗. ห้ามใช้เท้าเตะถีบเพศชาย

หรือสัตว์เพศผู้ คนโบราณถือว่าเพศชาย หรือเพศผู้ เป็นเพศที่สูง เป็นเพศที่ประเสริฐ
จึงอบรมสั่งสอน เพศหญิงให้เคารพเพศชาย ท่านกล่าว
ไว้ว่าผู้ชายที่ตั้งความปรารถนาและอธิษฐานขอเกิดเป็นผู้หญิงนั้น ใช้เวลาเพียง ๑ ชาติ
ก็จะได้เกิดเป็นผู้หญิงสมความปรารถนา
แต่ถ้าผู้หญิงตั้งความปรารถนาและอธิษฐานขอเกิดเป็นผู้ชาย ต้องใช้เวลาถึง ๕๐๐ ชาติ
จึงจะได้เกิดเป็นผู้ชาย ดังนั้น จึงสอนไม่ให้เพศ หญิงใช้เท้าซึ่งถือว่าเป็นของต่ำ เตะถีบเพศชาย
แม้กระทั่งสัตว์ดิรัจฉานบางประเภท เช่น ช้าง ม้า วัวควาย สุนัข เป็นต้น
ที่เป็นเพศผู้ก็ห้ามผู้หญิงใช้เท้าเตะถีบเช่นกัน

กำบ่าเก่าเล่า ไว้ไผจะเจื้อก่อต๋าม บ่าเจื้อก่อต๋าม
แต่แม่ญิงงามเปิ้นตึงบ่ายะ

ผีปู่ย่า

Photo by :: ลายคราม

การนับถือผีปู่ย่าในล้านนา

ผีปู่ย่า เป็น ผีหรือวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นผีประจำตระกูลที่มีการนับถืออยู่ในวงศ์ญาติเดียวกัน โดยจะมีบทบาทและหน้าที่เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ในกลุ่มเครือญาติ
ทำให้มีการแก้ไขปัญหาหรือยุติข้อขัดแย้งในหมู่เครือญาติได้

การนับถือผีปู่ย่านั้นจะมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการสืบเชื้อสายและการนับถือเครือญาติ เรียกว่าเป็นกลุ่มผีเดียวกัน ซึ่งเป็นการสืบทอดทางสายมารดา
ดังนั้นการนับถือผีปู่ย่าจะมีการถ่ายทอดผ่านทางผู้หญิงเท่านั้น

เชื่อกันว่าคติการนับถือผีปู่ย่านั้นจะเป็นแบบแผนวัฒนธรรมของชาวล้านนามาแต่โบราณ
แต่จากการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้ได้พบว่านอกเหนือจากชาวล้านนาและไทลื้อที่สิบสองพันนาที่มีการนับถือผีปู่ย่าด้วย แล้ว ยังมีชาติพันธุ์เผ่าไทอีก ๗ เผ่า
คือ เผ่าไทหย่า ไทยั้ง ไทจุ่ง ไทลาย ไทเหนือ ไทดำ และไทน้ำ ล้วนมีการนับถือผีปู่ย่าด้วยกันทั้งสิ้น
ตระกูลหรือญาติที่เป็นผีเดียวกันกลุ่มหนึ่งๆ จะมีหอตั้งผีอยู่ที่บ้านต้นตระกูลหรือบ้านเก๊าผีตั้งอยู่บริเวณหัวนอน หรือที่แจ่งมุมของเขตรั้วบ้าน แต่บางบ้านอาจไม่มีหอผีจะมีแต่หิ้งผีปู่ย่าตั้งไว้ภายในบ้านที่หัวนอนในห้อง ของเจ้าของบ้าน

มีเก๊าผีคือ ผู้หญิงที่มีอาวุโสเป็นผู้สืบทอดประกอบพิธีกรรมบูชาเซ่นสรวงและมักจะเป็น ม้าขี่
หรือ ร่างทรง ด้วย ในการนับถือผีปู่ย่า นอก จากจะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่บ้านผีเก๊าดังกล่าวมาแล้ว
แต่ในการปฏิบัติบูชากลุ่มคนที่อยู่ในสายผีเดียวกันในทุกหลังคาเรือน
จะต้องมีหิ้งผีปู่ย่าอยู่ในทุกบ้าน

หิ้งผีปู่ย่านั้นนิยมจัดตั้งไว้บนหัวนอนเจ้าของบ้านโดยสูงจากพื้นบ้านประมาณ สองเมตร
ถือเป็นของสูง เด็กๆจะไปเล่นเกะกะใกล้ไม่ได้
ผู้อาวุโสหรือพ่อแม่เท่านั้นที่จะเกี่ยวข้องกับผีปู่ย่าได้
ในครอบครัวที่เคร่งครัดจะจัดสำรับกับข้าวด้วยอาหารคาวหวานอย่างละเล็กละน้อย
พร้อมกับคนโทน้ำเซ่นไหว้ทุกวัน เพราะเชื่อว่าหากเลี้ยงไม่ดีเท่าที่ควรแล้ว
ผีปู่ย่าจะอดอยาก อาจจะทำโทษให้ครอบครัวเดือดร้อนต่างๆนานา
เป็นต้นว่าเด็กเล็กจะเจ็บป่วย

แต่หากปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะช่วยคุ้มครองและดลบันดาลให้เกิดโชคลาภต่างๆได้
ผีปู่ย่าที่อยู่ในเรือนเหล่านั้นบางครั้งก็จะถูกเรียกว่าเป็น ผีเรือน หรือ ผีเฮือน
เพราะช่วยให้ความคุ้มครองบ้านเรือนและลูกหลานที่อยู่ในเรือนด้วย
แต่บางครั้งความหมายของคำว่าผีเรือนของชนบางกลุ่มก็หมายถึงวิญญาณของพ่อแม่
ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ล่วงลับไปแล้ว

แต่อย่างไรก็ดีจากการศึกษาของผู้เขียน ได้พบว่าความหมายของผีเรือนในบางท้องที่
ของล้านนานั้นหมายถึงผีหลายๆ ตนที่อยู่ในเรือนและทำหน้าที่ต่างๆ
กันซึ่งในจำนวนนี้จะมีผีพ่อของเจ้าของเรือนอยู่ด้วย
โดยมีผีปู่ย่าหรือผีวงศ์ซึ่งเป็นผีประจำตระกูลเป็นหัวหน้าใหญ่สุดอยู่บน เรือน
อย่างไรก็ดีผีปู่ย่าหรือผีบรรพบุรุษของบางสายตระกูลที่เป็นผู้นำทางสังคม เช่น หัวหน้าหมู่บ้าน
เจ้าเมือง หรือกษัตริย์ นอกจากจะได้รับการนับถืออยู่ในกลุ่มวงศ์ตระกูลแล้ว
ยังได้รับการนับถือบูชาจากชาวบ้านชาวเมืองอีกด้วย

ดังนั้นผีปู่ย่าหรือผีบรรพบุรุษของผู้ นำทางสังคมจึงมีฐานะเป็นทั้งผีประจำ
ตระกูลและผีของชุมชนด้วย ซึ่งในส่วนที่มีบทบาทต่อชุมชนนั้นจะมีชื่อเรียกว่า ผีเสื้อบ้าน
หรือ ผีเสื้อเมือง และจะมีบทบาททางสังคมเพิ่มขึ้น
เพราะนอกเหนือจากการที่จะต้องดูแลลูกหลานในวงศ์ตระกูลแล้ว
ยังจะต้องดูแลชาวบ้านหรือชาวเมืองอีกด้วย
ซึ่งบทบาทเช่นนี้มีลักษณะเหมือนบทบาทของหัวหน้าหมู่บ้าน เจ้าเมือง หรือ กษัตริย์
จะเห็นได้ว่าบทบาทของผีปู่ย่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในสังคมหลายระดับ
นับตั้งแต่ระดับครัวเรือน เครือญาติวงศ์หรือสายผีเดียวกัน และระดับชุมชน

ในกรณีที่ผีปู่ย่าหรือผีบรรพบุรุษของผู้นำทางสังคมทำหน้าที่เป็นผีเสื้อบ้าน หรือผีเสื้อเมือง
จึงทำหน้าที่ที่อาจจัดอยู่ในประเภทเป็นผีอารักษ์หรือผีเจ้านาย
ดังในด้านประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับผีปู่ย่านั้นโดยทั่วไปแล้ว
ผู้ที่นับถือผีปู่ย่าจะต้องมีการเซ่นไหว้หรือที่เรียกว่า เลี้ยงผี ในโอกาสต่างๆ
เป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ทั้งนี้เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าผีปู่ย่าจะช่วยคุ้มครองลูกหลาน
ไม่ว่าจะไปทำกิจกรรมใดๆ เช่น เดินทางไกล แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ค้าขาย มีคนมาพักในบ้าน
เจ็บป่วยได้ไข้ ฯลฯ จะต้องบอกกล่าวให้ทราบ และบนบานขอร้องให้ช่วยคุ้มครอง
ดังนั้นจึงต้องมีการเลี้ยงผีเพื่อเป็นการสักการะวิญญาณของบรรพบุรุษ เป็นการขอขมา
แสดงความขอบคุณที่ได้ช่วยคุ้มครองปกปักรักษา
และอำนวยอวยผลให้เกิดความสำเร็จในการทำมาหากินในช่วงเวลาที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามหลายๆครอบครัวใน ปัจจุบันละเลยผีี่บรรพบุรุษ ทำให้ลูกหลานไปอยู่ที่ไกลหาโอกาสกลับมารวมกันได้ยาก โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องการเสียผี ค่าปรับค่าล่วงเกินเกี่ยวกับผี ไม่มีในหัวใจคนสมัยใหม่ จึงทำให้หญิงสาวถูกล่อลวง เสียผู้เสียคนไปมากต่อมาก


 

การสืบชะตา

ประเพณีสืบชะตา

เป็นพิธีกรรมที่ชาวล้านนา ทำขึ้นเพื่อต่ออายุให้ยึดยาวออกไป เป็นการเพิ่มความเป็นศิริมงคลให้กับ
ตนเอง เป็นการสร้างเกราะกำบังให้กับตน ทำเรื่องร้ายกลายเป็นดี

ประเพณีสืบชะตา คน
เป็นเรื่องส่วนบุคคล จัดเนื่องในโอกาส ครอบรอบอายุรับยศตำแหน่งใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ กุฎิใหม่
การเจ็บป่วยไม่สบาย โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้ประกอบพิธี
อุปกรณ์ในพิธีกรรมมีหลายอย่าง เช่น กระโจมทำจากไม้ปอกเปลือกมัดรวมกัน ตั้งเป็นสามเหลี่ยม
ผู้สืบชะตานั่งในกระโจมนี้ นอกจากนั้นยังมีผลไม้นานาชนิด หมอน ธงทิว เสื้อผ้า ด้ายสายสินญจ์
น้ำมนต์ ฯลฯ ทำพิธีที่วัดหรือที่บ้านก็ได้


ประเพณีสืบชะตาบ้าน

เป็นพิธีกรรมของคนทั้งบ้าน หรือทั้งหมู่บ้าน มีการเตรียม ที่สลับซับซ้อนกว่าสืบชะตาคน ต้องอาศัย
ความร่วมมือกันหลายฝ่าย
พระสงฆ์และอาจารย์เป็นผู้ประกอบพิธี ถือเป็นงานประเพณีของความสามัคคี
สร้างขวัญกำลังใจของคนทุกคนในหมู่บ้าน ประเพณีนี้กระทำในเดือนเจ็ด ปี๋ใหม่เมือง
ส่วนใหญ่เริ่มตั้งแต่หลัง วันปากปี เป็นต้นไป

ประเพณีสืบชะตาเมือง

เป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากคนทั้งเมือง เมื่อใด ดวงเมืองไม่ค่อยดี หรือดวงเมืองชะตาขาด เชื่อว่าจะเกิดเพศภัยต่าง ๆ ขึ้นในบ้านในเมืองได้ ประชาชนทั้งเมืองก็จะได้รับความ
เดือดร้อน พิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์และสลับซับซ้อน เพราะจะมีพระสงฆ์จำนวนมาก ปุโรหิต หรือปู่อาจารย์ใหญ่ หรือโหราจารย์ประจำเมือง เป็นผู้กำหนด เป็นประเพณีที่สร้างขวัญกำลังใจ ความมั่นใจ ความสามัคคี ให้แก่ทุกคน



พิธีกรรม

เครื่องพิธีสืบชะตา ได้แก่ กระบอกน้ำ ๑๐๘ หรือเท่าอายุ กระบอกทราย ๑๐๘ หรือเท่าอายุ ลวดเงินลวดทองอย่างละ ๔ เส้น
หมากพลูผูกติดเส้นด้ายในลวดเงินลวดทอง ๑๐๘ ช่อ (ธงเล็ก) ๑๐๘
หม้อเงินหม้อทองอย่างละ ๑ ใบ (ใหม่)
ด้ายสายสิญจน์ล้อมรอบผู้สืบชะตา ๑ กลุ่ม ปลาสำหรับปล่อยจำนวนเท่าอายุผู้สืบชะตา นก หรือปู หรือหอย
พานบายศรีนมแมว ๑ สำรับ
บันไดชะตา ๑ อัน
ไม้ค้ำ ๑ อัน
ขัวไต่ ๑ อัน
ฝ้ายค่าคิงจุดน้ำมัน ๑ สาย
กล้ามะพร้าว ๑ ต้น
กล้วยดิบ ๑ เครือ
เสื่อ ๑ ผืน
หมอน ๑ ใบ
ธงค่าคิง ๑ ผืน
เทียนเล่มบาท ๑ เล่ม
มะพร้าว ๑ ทะลาย
บาตรน้ำมนต์ ๑ ลูก

พิธีกรรมมีดังนี้
๑. เมื่อเตรียมเครื่องพิธีสืบชะตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปู่อาจารย์จะทำพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่
๒. เจ้าภาพนิมนต์พระสงฆ์ ๙ รูป เป็นผู้ทำพิธี มีคำสวด โดยเฉพาะชินเบงชร, (ชินบัญชร)
สวดสืบชะตา, มงคลจักรวาลน้อย เป็นต้น
ขณะที่พระสงฆ์สวดนั้นผู้สืบชะตาจะเข้าไปนั่งประนมมือในซุ้มเครื่องสืบชะตา
ซึ่งตั้งไว้หน้าพระสงฆ์
๓. ผู้สืบชะตาจะจุดเทียนชัย ด้ายค่าคิงและเทียนสืบชะตา
๔. หลังจากพระสวดจบแล้ว เจ้าภาพจะจัดให้มีเทศน์ ๑ กัณฑ์
๕. หลังจากเทศน์จบ จะมีการผูกมือให้ผู้สืบชะตา
พระสงฆ์ประพรมน้ำมนต์และเจ้าภาพถวายอาหารและไทยทานแด่พระสงฆ์ เป็นเสร็จพิธี

การขึ้นต้าวตังสี่

ผู้คนชาวล้านนามีความเชื่อว่า ในแต่ละบ้านเรือนจะมีต๊าวตังสี่ (ท้าวทั้งสี่)
เป็นเทพารักษ์เฝ้าดูแลรักษาชีวิต ป้องกันภัยต่างๆมิให้กล้ำกรายผู้คนที่อยู่อาศัยในบ้านนั้นๆ
ต๊าวตังสี่มีอยู่สี่องค์ได้แก่

*ท้าวมหาราชธตรฐผู้เป็นใหญ่แห่งคนธรรพ์รักษา ทิศตะวันออก
*ท้าววิรุฬหกผู้เป็นใหญ่แห่งกุมภัณฑ์รักษาทิศใต้
*ท้าววิรูปักษ์ผู้เป็นใหญ่แห่งนาครักษาทิศตะวันตก
*ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวรผู้เป็นใหญ่แห่งยักษ์รักษาทิศเหนือ

นอกจากต๊าวตังสี่รักษาทิศ ทั้งสี่แล้ว ข้างบนบ้านเรีอนที่เป็นส่วนของฟ้ามีพระอินทร์รักษา
และด้านที่เป็นพื้นดินสุดมีพระแม่ธรณีรักษา
ดังนั้นเมื่อทำการบูชาผู้คนจะจัด ทำเครื่องสักการะเป็น หก ส่วนคือบูชาท้าวทั้งสี่และพระอินทร์
พระแม่ธรณี

เครื่องสักการะที่สำคัญในการบวงสรวงบูชามีข้าวปลาอาหารตามปกติทั่วไปที่
เจ้าของบ้านรับประทาน


ที่สำคัญมีตุงจ้อ (ตุงช่อ) คือสัญลักษณ์ในการบูชาทำด้วยกระดาษตัดเป็นรูปคล้าย
ธงสามเหลี่ยมสีเขียวไว้ด้านบนสุดของแท่นไม้เพื่อบูชาพระอินทร์
ตุงจ้อสีแดงบูชาท้าววิรุฬหก ตุงจ้อสีฟ้าบูชาท้าวธตรฐ
ตุงจ้อสีดำบูชาท้าววรูปักษ์
ตุงจ้อสีหม่นหรือเทาบูชาท้าวกุเวร
และตุงจ้อสีขาวบูชาพระแม่ธรณี

การบูชาต๊าวตังสี่จะใช้ไม้เสาต้นเดียว แต่มีไม้ตีไขว้เป็นกากบาทสูงกว่าพื้นดินราวศอกกว่าๆหันปลายไม้กากบาทไปยัง ทิศทั้งสี่
แล้ววางสะตวง (กระทงกาบกล้วย) ไว้ทั้งสี่ทิศ
ส่วนด้านบนสุดของเสาวางสะตวงบูชาพระอินทร์และส่วนล่างสุดวางไว้บนดินชิดโคน
เสาเพื่อบูชาพระแม่ธรณี -ครั้นถึงเวลาที่จะบูชาพ่อหมอหรือปู่อาจารย์จะทำพิธีกรรม

กล่าวโองการอัญเชิญต๊าวตังสี่และพระอินทร์ แม่พระธรณีมารับเครื่องเซ่นบูชา
การบูชาต๊าวตังสี่จะทำทุกครั้งเมื่อบ้านเรือนจะมีงานทำบุญหรืองานอวมงคล เพื่อให้ผู้คนอยู่เย็นเป็นสุข
ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง
เมื่อกล่าวถึงต๊าวตังสี่คนล้านนา คือ การสร้างความเชื่อหรือสร้างบุคลาธิษฐาน
ให้ผู้คนร่วมกันกราบไหว้บูชาเป็นผะหญาปัญญาทำให้เกิดความมั่นใจ
เกิดความอบอุ่นใจในการต่อสู้ชีวิต
ฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการที่ถาโถมเข้ารุมเร้าภาวะร่างกายจิตใจของคนในบ้าน เรือน
เป็นกำลังใจไหว้วอนปลดปล่อยความทุกข์โศกเศร้าไปกับพิธีกรรม
มองกลิ่นธูปควันเทียนที่ล่องลอยเป็นสายพาพัดสิ่งทุกข์โศก สิ่งคับข้องใจ ความไม่สบายใจ
ความท้อแท้ใจที่ไม่พึงประสงค์เลือนหายไปในอากาศธาตุ เป็นจิตวิทยาที่พึ่งพาพิธีกรรม
แม้บางครั้งกายป่วยแต่จิตไม่ป่วย กลับเกิดมีพลังจิตที่กล้าแข็งต่อสู้ชีวิต

พิธีกรรม

เริ่มจากปู่อาจารย์หรือผู้ประกอบพิธี จะนำกระทงเครื่องปูจา ๖ กระทงวางบนแท่นปูจา
(หอประสาทเสาเดียว) เพื่อปูจา พญาอินต๋า ท้าวตะละโถ ท้าววิโลหะโก๋ ท้าววิธูปักโข ท้าวกุเวโร
และแม่พระธรณี แล้วจุดธูป ๒๐ ดอก ปักที่ตีนเสา ในขณะนั้นเจ้าของบ้านควรนั่งพนมมือ
แล้วปู่อาจารย์จะทำพิธีตามลำดับดังนี้

- ปู่อาจารย์จะทำพิธีปลุกแม่ธรณีว่า แม่ธรณีเอ๋ย เจ้าอยู่ รู้หรือยัง แล้วตอบเองว่า อยู่ รู้แล้ว
สาวะคะตั๋ง โลก๋าวิทู นะมามิ ๓ ครั้ง เสกมือแล้วตบที่เสา ๓ ครั้ง
- กล่าวคาถาชุมนุมเทวดา
- กล่าวคำปูจาแม่ธรณีและท้าวตั้งสี่ (จตุโลกบาล)
- กล่าวคำปูจาพญาอินทร์


เครื่องสังเวย


เครื่องสังเวยก็มีดอกไม้ ธูปเทียน หมากเมี่ยง ปูรี (บุหรี่) ขนม ข้าวต้ม จ้อ
(ช่อ - ทำเป็นธงสามเหลี่ยมด้วยกระดาษต่าง ๆ) ใส่ “สะตวง”
วางไว้ที่ปลายไม้ที่ชี้ไปทั้งสี่ทิศและตรงกลางเสาซึ่งจะสูงกว่าฐานไม้ที่รอง “สะตวง”
ประมาณสองคืบเศษเป็น “สะตวง” ใหญ่สำหรับพระอินทร์
ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประมุขของเทวดาทั้งหลายที่อยู่เบื้องล่าง ส่วนฐานล่างสุดติดดินก็จะวางกระทงสะตวงให้พระแม่ธรณีสะตวงหนึ่ง รวมทั้งหมดมี ๖ สะตวงด้วยกัน

ฮ้องขวัญ

ฮ้องขวัญ เป็นภาษาถิ่นเฉพาะของชาวล้านนา
พิธีฮ้องขวัญ หรือบางทีเรียก พิธีเรียกขวัญ หรือพิธีสู่ขวัญ
เป็นความเชื่อสะท้อนการผสมผสานเรื่องของขวัญกับพุทธศาสนา
และอำนาจลี้ลับเหนือ ธรรมชาติ

พิธีกรรมลักษณะนี้อยู่บนรากฐานความเชื่อทางวัฒนธรรมในวิถีชีวิตของคนไทยในทุกท้องถิ่น
แต่มีการปรับเปลี่ยนไปตาม วัฒนธรรมเฉพาะของท้องถิ่นนั้น
คำว่า “ขวัญ” หมายถึง ผมหรือขนที่ขึ้นเวียนเป็นก้นหอย… สิ่งที่ไม่มีตัวตน เชื่อกันว่า
มีอยู่ประจำชีวิตของคนมาตั้งแต่เกิด ถ้าขวัญอยู่กับตัว ก็จะเป็นสิริมงคล เป็นสุขสบาย จิตใจมั่นคง
ชาวล้านนามีความเชื่อกันว่าขวัญจะอยู่ ประจำตัวเป็นพลังที่ช่วยในการปกป้องรักษาเจ้าของขวัญ
ให้มีความอยู่เย็นเป็นสุขไม่ เจ็บไม่ป่วย แต่เมื่อใดที่ขวัญอ่อนลงหรือออกจากร่าง
จะเป็นเหตุให้สภาวะของร่างกายและจิตใจของเจ้าของขวัญรู้สึกเสียใจ ตกใจ ท้อใจ อาจเรียกได้ว่า ขวัญหาย ขวัญหนีดีฝ่อ
ขวัญเสียหรือเสียขวัญ ทำให้เจ้าของขวัญเจ็บป่วย กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีกำลังใจ ในการดำเนินชีวิต
ถ้าต้องการให้ขวัญกลับคืนสู่ตัวและชีวิตเป็นปกติสุข จำเป็นต้องทำพิธีฮ้องขวัญ และโอกาสที่ใช้ในการฮ้องขวัญ มีหลายลักษณะ เช่น การฮ้องขวัญเกี่ยวกับคน ได้แก่ การเรียกขวัญคนเจ็บไข้ได้ป่วย ขวัญคนที่ประสบอุบัติเหตุ ขวัญเด็ก ขวัญสามเณร ขวัญนาค ขวัญบ่าวสาว ขวัญผู้ใหญ่ที่เคารพ การฮ้องขวัญของผู้ที่มีการเปลี่ยนผ่านสถานภาพ
(เปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ การงาน เปลี่ยนที่อยู่อาศัย จบการศึกษา) การฮ้องขวัญผู้มาเยือน
เป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้เกียรติแขกที่มาเยือน การฮ้อง ขวัญหลังจากการทำเกษตรที่ใช้แรงงานแล้ว
เป็นการแสดงความกตัญญูและการขอขมาลาโทษ ได้แก่ ขวัญข้าวขวัญควาย
และการฮ้องขวัญสิ่งของเพื่อเสริมสร้างความอุ่นใจแก่เจ้าของผู้ใช้ ได้แก่ ขวัญบ้าน ขวัญเสาเรือน ขวัญเกวียน เป็นต้น
ในการประกอบพิธีฮ้องขวัญของชาวล้านนา ต้องอาศัยผู้ที่มีภูมิความรู้ความชำนาญในการจัดพิธีกรรม โดยผู้ประกอบพิธี  ส่วนใหญ่เป็นเพศชายและผ่านการบวชมาแล้ว เรียกว่า หมอขวัญ อาจารย์วัด (ปู่วัด) พ่อหนาน  ทำหน้าที่เป็นผู้เรียกขวัญใช้บทเรียก ขวัญที่มีเนื้อหาปฎิภาณไหวพริบโน้มน้าวเชิญชวนให้ขวัญกลับเข้ามา  มีสำเนียงน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน มีภาษาบาลีประกอบบ้าง เพียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความขลังและศักดิ์สิทธิ์ของพิธี

พิธีกรรม

การทำพิธีฮ้องขวัญ ท่านให้ทำขันครู (ขั้นตั้ง) ให้พ่อหมอหรืออาจารย์ผู้ทำพิธีนั้น
ขั้นตั้งครูอาจารย์
๑. สวยหมาก ๔ สวย
๒. พลู ๔ สวย
๓. สวยดอก ๔ สวย
๔. เทียนน้อย ๔ คู่
๕. เทียนเล่มละ ๑ บาท ๒ คู่
๖. ข้าวเปลือก ๑ ลิตร
๗. ข้าวสาร ๑ ลิตร
๘. เบี้ยพันสาม
๙. หมากพันสาม
๑๐. ผ้าขาว - ผ้าแดง
๑๑. เงิน ๓ บาท

แต่งดาใส่ขันตั้งให้หมด บายศรีฮ้องขวัญ การฮ้องขวัญนั้นให้แต่งเครื่องข้าวขวัญ
คือ ทำเครื่องขันบายศรีปักด้วยดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมหลายสี หลายอย่างเป็นพุ่มพวงงาม
มีด้าย ๙ เส้นรอบเวียนบายศรี ข้างในขันให้ใส่ข้าวปลาอาหารต่าง ๆ พร้อมทั้งเครื่องคาว - หวาน
เมื่อแต่งดาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ทำพิธีฮ้องขวัญ การฮ้องขวัญ
ก่อนฮ้องขวัญต้องทำพิธีกล่าว ทำปัดเคราะห์ ปัดภัยเสียก่อน
โดยพ่อหมอหรืออาจารย์จะกล่าวคำปัดเคราะห์ ปัดภัยเป็นภาษาพื้นเมือง เมื่อกล่าวคำปัดเคราะห์
ปัดภัยเสร็จหมดแล้วจะทำพิธีกล่าวคำฮ้องขวัญต่อไป พร้อมทั้งมีการมัดมือด้วยด้าย ๙ เส้น
เริ่มจากข้อมือซ้ายก่อนแล้วมัดข้อมือขวา ในระหว่างที่มัดข้อมือ
พ่อหมอหรืออาจารย์ก็จะกล่าวคำให้พรตลอด จนกว่าจะเสร็จ
สาระตั้งแต่โบราณมา คนพื้นเมืองเมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย
ผอมเหลืองกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นเวลาหลายวัน หรือสะดุ้งตกใจกลัวเมื่อพบเห็นสิ่งที่หวาดเสียว
น่ากลัว และประสบปัทวเหตุสยดสยอง อาจทำให้ขวัญหนีดีฝ่อเหล่านี้
ญาติพี่น้องจะช่วยกันจัดแต่งขันตั้งเครื่องบายศรีเพื่อฮ้องขวัญให้กับผู้ ประสบเหตุนั้น
และเพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจและเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย นั้น